วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

ชั่วโมงเรียนพลศึกษา สำคัญกว่าที่คิด นักวิจัยเขาบอกมา

ชีวิตในวัยเรียนช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ แต่ผลงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of American College Health บอกว่า เด็กวัยรุ่นยังออกกำลังกายกันไม่มากพอในชั่วโมงเรียนพลศึกษา
ผลงานวิจัยนี้จัดทำโดย Oregon State University ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า พลศึกษา นั้นถูกจัดให้เป็นวิชาเลือกในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมีนักศึกษาเพียงจำนวนน้อยที่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่เลือกเรียนวิชานี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และจากผลงานวิจัยชิ้นนี้ก็พบว่า นักศึกษาที่สนใจในการเข้าโรงยิมนั้น จะกลายเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นในเรื่องการเรียนมากขึ้น แถมยังทำให้มีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตอีกด้วย
ชั่วโมงเรียนพลศึกษา สำคัญกว่าที่คิด นักวิจัยเขาบอกมาคุณ Brad Cardinal ศาสตราจารย์ของ Oregon State University และเป็นผู้ร่วมในงานวิจัยนี้กล่าวว่า "พลศึกษา เป็นเพียงวิชาเลือก และเราพบว่านักศึกษาที่เลือกเรียนพลศึกษา มีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น และมีแรงกระตุ้นในการเรียน นักศึกษาเหล่านี้มีความสนใจในการออกกำลังกายอยู่เป็นทุนเดิม และสถานศึกษาก็สนับสนุนความต้องการของพวกเขา และการลงเรียนในวิชาพลศึกษา จะเป็นประโยขน์กับนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่ขาดความกระตือรือร้นในการเรียน"
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ การเรียนพลศึกษาไม่เพียงแค่ทำให้นักศึกษามีความตื่นตัวมากขึ้นในชั่วโมงเรียน แต่มันยังส่งผลให้เกิดควมกระตือรือร้นภายหลังจากนั้นไปอีกหลายปีอีกด้วย คุณ Brad Cardnal กล่าวว่า "เราพบว่าคนที่ขาดแรงผลักดันมักจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และมีบางคนที่สามารถนำตัวเองออกจากสภาวะนี้ได้ โดยการเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายมีความเคลื่อนไหว ได้ออกกำลังกาย"
และ Oregon State University เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญมากกับเรื่องพลศึกษา โดยแบ่งออกเป็นสองวิธีการคือ มีทั้งคอร์สการเรียนที่เน้นหนักเรื่องสุขภาพและความฟิตของร่างกาย และคอร์สการเรียนที่นักศึกษาต้องเข้าร่วมในกิจกรรมออกกำลังกาย และเจ้าของผลงานวิจัยชิ้นนี้มีความคิดเห็นอย่างชัดเจนว่า การเรียนพลศึกษาที่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวนั้น ส่งผลดีกับการเรียน และเหนือสิ่งอื่นใด การที่เราเป็นคนแข็งแรงสุขภาพดี แน่นอนว่าช่วยประหยัดเงินค่ารักษาโรคต่างๆ ในอนาคตได้ด้วยนะ
ความคิดเห็น   เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการปฎิบัติสำคัญกว่าทฤษฎี การเรียนพละช่วยคลายเคลียดและเพิ่มความแข็งแรงต่อร่างกาย

Chrome Beta เวอร์ชั่นล่าสุดรองรับสแกนนิ้วทั้งบน Android และ Mac แล้ว

Google Chrome Beta เวอร์ชั่นล่าสุดนั้นได้เพิ่มการอัพเดตครั้งสำคัญเข้ามาในเบราว์เซอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นก็คือการสนับสนุนการใช้งาน Fingerprint สำหรับ Chrome บนอุปกรณ์ Android และ Mac OS นั่นเอง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้นำข้อมูล Biometric (ข้อมูลทางชีวภาพ) มาเสริมระบบรักษาความปลอดภัยให้กับการใช้งาน Chrome ได้
Chrome Beta เวอร์ชั่นล่าสุดรองรับสแกนนิ้วทั้งบน Android และ Mac แล้ว
โดยการอัพเดตในครั้งนี้จะช่วยให้ Chrome นั้นสามารถที่จะนำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนอุปกรณ์ Android และเซ็นเซอร์ Touch ID บน MacBook Pro มาใช้งานร่วมกับเบราว์เซอร์ได้นั่นเอง แต่ในตอนนี้ยังไม่ได้มีข้อมูลออกมาว่า Chrome นั้นจะสามารถใช้งานกับรูปแบบอื่นๆ อย่างตัวสแกนลายนิ้วมือ Windows Hello หรือ Touch ID บนอุปกรณ์ iOS รุ่นก่อนหน้านี้ได้บ้างหรือไม่ แต่คาดว่าอีกไม่นานเราน่าจะได้ทราบกันแล้วว่าทาง Google จะออกมาอัพเดตอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ Chrome 70 Beta นั้นยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนั่นก็คือการรองรับ Web Bluetooth บน Windows 10 ซึ่งเพิ่มความสามารถให้ Chrome นั้นสามารถที่จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เปิด Bluetooth ในบริเวณใกล้เคียงได้นั่นเอง (ซึ่งใน Chrome เวอร์ชั่นอื่นๆ มีฟีเจอร์นี้อยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว)
แถมทาง Google ยังคงเปิดตัว API ซึ่งเป็นระบบที่จะทำให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถที่จะระบุใบหน้า บาร์โค้ด ข้อความในภาพ รวมถึงการสแกน QR Code ได้นั่นเอง
และปิดท้ายที่ในตอนนี้ Chrome สามารถออกจากโหมด Full Screen ได้แบบอัตโนมัติเมื่อมีหน้าต่างป๊อปอัพ เมื่อมีหน้าต่าง การระบุตัวตน การยืนยันเพื่อทำการจ่ายเงิน หรือเมื่อมีหน้าต่างเลือกไฟล์โผล่ขึ้นมา ทำให้เหล่าผู้ใช้งานสามารถดำเนินการกับสิ่งต่างๆ ที่เด้งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ความคิดเห็น มีเพิ่มมาก็สามารถสร้างความสะดวกสะบายและความปลอดภัยให้ผู้ใช้งานได้เต็มที่

แจกภาพวอลเปเปอร์ใหม่ ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XR

ตามธรรมเนียมเหมือนเช่นเคยที่ใน iPhone รุ่นใหม่ๆ ทาง Apple จะใส่ภาพวอลเปเปอร์ลายใหม่ๆ เข้ามาด้วย สำหรับคนที่อยากได้ภาพวอลเปเปอร์ใหม่ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XR เราเอาภาพทั้งหมดมาฝากแล้ว ชอบลายไหน ก็เซฟไปใช้กันได้เลย
ถ้าเปิดลิงค์นี้บน iPhone ก็แตะที่รูปค้างไว้เพื่อเซฟได้เลยครับ
 à¹à¸ˆà¸à¸ à¸²à¸žà¸§à¸­à¸¥à¹€à¸›à¹€à¸›à¸­à¸£à¹Œà¹ƒà¸«à¸¡à¹ˆà¸—ั้ง 15 ภาพ ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XRแจกภาพวอลเปเปอร์ใหม่ทั้ง 15 ภาพ ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XRแจกภาพวอลเปเปอร์ใหม่ทั้ง 15 ภาพ ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XRแจกภาพวอลเปเปอร์ใหม่ทั้ง 15 ภาพ ที่มาพร้อมกับ iPhone XS และ iPhone XR
ที่มาhttps://news.thaiware.com/14556.html
ความคิดเห็น  สวยงาม ล้ำสมัยตามแบบฉบับของมือถือค่ายนี้

นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า ทำไมฉลามถึงได้มารวมตัวกันในสถานที่ปริศนา ในทุกๆ ปี

ด้วยความที่เป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดในมหาสมุทร ทำให้เจ้าฉลามได้รับความสนใจที่เราจะศึกษา และเรียนรู้เรื่องของมันอยู่เสมอๆ และในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับอาหาร พฤติกรรม รวมถึงเข้าใจเหตุผลที่มันโจมตีมนุษย์ในบางครั้ง แม้เราจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากมายเกี่ยวกับมัน แต่ก็ยังคงมีปริศนาใหญ่อยู่หนึ่งข้อเกี่ยวกับปลาฉลามที่ยังไม่มีใครเข้าใจคือ ทำไมพวกมันต้องเดินทางไกลเพื่อมาร่วมตัวกัน ณ จุดๆ หนึ่งในมหาสมุทรเป็นประจำในทุกๆ ปี
สามารถคลิกเพื่อดูภาพใหญ่
นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า ทำไมฉลามถึงได้มารวมตัวกันในสถานที่ปริศนา ในทุกๆ ปี
ตำแหน่งของรัฐ Baja California และเกาะฮาวาย
โดยมีการตั้งชื่อเล่นให้กับตำแหน่งพิกัดนี้ว่า "White Shark Cafe" หรือ "คาเฟ่ของปลาฉลามขาว" สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง รัฐ Baja California (บาฮากาลิฟอร์เนีย) ประเทศเม็กซิโก กับเกาะฮาวาย และในทุกฤดูหนาว พิกัดนี้จะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของฉลามหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ ฉลามขาว, ฉลามสีน้ำเงิน และฉลามมาโก (Mako shark) แต่การที่จะหาคำตอบว่าทำไมพวกมันถึงมารวมตัวกันที่นี่ ต้องใช้เวลายาวนานหลายปี และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ
นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า ทำไมฉลามถึงได้มารวมตัวกันในสถานที่ปริศนา ในทุกๆ ปี
ฉลามมาโก สามารถมีความยาวได้ถึง 4 เมตร และหนักได้ถึง 570 กก.
ขอบคุณภาพประกอบจาก Hayden's Animal Facts
และเรื่องที่แปลกที่สุดคือ พิกัด White Shark Cafe นั้นเป็นตำแหน่งบนมหาสมุทรแปซิฟิกที่ไม่มีความพิเศษอะไรเลย นักวิทยาศาสตร์พบว่าฉลามตัวที่เขาติดตามอยู่ เดินทางมาที่พิกัดนี้ในทุกๆ ปี ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่มีการเฝ้าติดตามมัน แต่ไม่สามารถอธิบายลักษณะพิเศษของพื้นที่นี้ได้เลย และจากการสำรวจพิกัดนี้เป็นเวลาต่อเนื่องหลายปี ก็พบเงื่อนงำที่น่าสนใจมากมาย ทำให้ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Monterey Bay Aquarium และมหาวิทยาลัย Stanford ได้คิดหาวิธีแก้ไขปมปริศนานี้
โดยทีมงานใช้เวลาร่วมสัปดาห์บนท้องทะเล ลองเดินทางผ่านเส้นทางเดียวกับที่ฉลามใช้เวลาในการเดินทาง 100 วันเพื่อไปยัง White Shark Cafe ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานทีเดียว แต่ในที่สุดก็ค้นพบสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นคำตอบ
และสิ่งที่ทีมงานค้นพบคือ White Shark Cafe ไม่ได้เป็นแค่พิกัดที่เวิ้งว้างว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เป็นบ้านของปลาทะเลน้ำลึกที่สามารถปล่อยแสงเรืองได้ ทำให้น้ำทะเลในระดับความลึกที่แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงนั้นมีแสงสว่างขึ้นมาได้ ในทุกๆ วัน ฉลามจะดำน้ำลึก 100 ฟุตเพื่อลงไปหาฝูงปลาที่สามารถส่องแสงสว่างเหล่านี้ เพื่อล่าพวกมัน
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ ยังพบกับพฤติกรรมที่แปลกประหลาด โดยฉลามตัวผู้จะดำน้ำในรูปแบบตัว V และเป็นการทำซ้ำด้วยการดำน้ำในรูปแบบซิกแซ็ก เป็นจำนวนกว่า 140 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งพฤติกรรมนี้ยังเป็นปริศนาว่าพวกมันทำไปทำไม และทำไมเฉพาะฉลามตัวผู้ที่ทำอะไรแบบนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่านี่คือเทคนิคในการล่า หรืออาจะเป็นวิธีในการผสมพันธุ์ก็เป็นได้
มีการวางแผนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลไว้แล้ว และนักวิทยาศาสตร์ก็มีงานมากมายที่ต้องทำ เพื่อที่จะค้นหาเหตุผลที่แท้จริงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพิกัด White Shark Cafe และก็ดูเหมือนว่าเราใกล้จะค้นพบคำตอบแล้ว
ความคิดเห็น หากหาได้ตามที่สงสัย มันก็อาจจะเป็นเรื่องดี เช่น ที่แห่งนี้มีความสมบูรณ์

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การหยุดแพร่เชื้อไข้มาลาเรียอย่างแท้จริง ต้องรักษายุงด้วยไม่ใช่แค่รักษาคน

ไข้มาลาเรีย เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่จะมีผู้ป่วยนับร้อยล้านรายในแต่ละปี และมีผู้เสียชีวิตนับแสนราย เป็นโรคติดต่อในเขตเมืองร้อน โดยการแพร่ระบาดผ่านการโดนยุงก้นปล่องที่อาศัยอยู่ในป่ากัดเอา ทำให้เชื้อโปรโตซัวมาลาเรียมาแฝงตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ และถ้ายุงไปกัดคนที่เป็นไข้มาลาเรีย มันก็สามารถแพร่กระจ่ายเชื้อไปให้คนอื่นได้อีก
โดยมาตรการป้องกันโรคโดยทั่วๆ ไปนั้นใช้วีธีป้องกันการแพร่กระจายของยุงด้วยการฉีดพ่นสารเคมี หรือการการมุ้ง เพื่อไม่ให้ยุงสามารถเข้าถึงตัวคน แต่ผลจากการวิจัยล่าล่าสุดเผยว่า เราอาจจะมีวิธีการที่ดีกว่านั้น ด้วยการรักษาเจ้ายุงที่อยู่ในป่าซะเลย
ผลงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Communications มุ่งเน้นในการหาวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เผชิญหน้ากับยุงที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย ซึ่งเมื่อฟังแค่นี้ก็ดูเหมือนว่าเป็นแนวคิดแบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่เอาซะเลย แต่ถ้าเราได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เชื้อไข้มาลาเรียนั้นมีรูปแบบการแพร่ระบาดเป็นอย่างไรแล้วหล่ะก็ จะรู้ว่าวิธีการนี้เป็นอะไรที่ฉลาดมาก
ด้วยความจริงที่ว่า เมื่อคนเราติดเชื้อไข้มาลาเรีย และได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว อาการป่วยหายไป แต่เชื้อปรสิตยังคงมีอยู่ในร่างกาย และหากมียุงมากันคนๆ นี้เข้า เชื้อปรสิตในตัวยุงจะมีการฟื้นฟูตัวเองใหม่อีกครั้ง และพร้อมที่จะแพร่เชื้อไปให้คนอื่นที่โดนยุงตัวนี้กัด
ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยคุณ Jake Baum จากวิทยาลัย Imperial College London ได้ทำการทดลองกับตัวยากว่าหมื่นแบบที่ผลิตจากส่วนประกอบที่ต่างกัน เพื่อดูว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับการฟื้นตัวของเชื้อปรสิตที่อยู่ในตัวยุง และจากตัวยากว่า 70,000 แบบ ในที่สุดก็พบตัวยา 6 แบบ ที่คาดว่าน่าจะใช้งานได้

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การหยุดแพร่เชื้อไข้มาลาเรียอย่างแท้จริง ต้องรักษายุงด้วยไม่ใช่แค่รักษาคน
แผนที่แสดงระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาดเชื้อมาลาเรียทั่วโลก
ขอบคุณภาพประกอบจาก ausmed.com
คุณ Jake Baum กล่าวว่า "สิ่งที่พวกเราทำคือการคิดค้นยาต้านมาลาเรียที่ช่วยป้องกันยุง ทำให้เชื้อปรสิตไม่สามารถฟื้นตัวได้เมื่อมันเข้าไปอยู่ในตัวยุง ด้วยการผสมตัวยาแบบใหม่เข้ากับยาต้านมาลาเรียแบบเดิม เราไม่เพียงแค่จะสามารถรักษาคนให้หายป่วยได้ แต่เรายังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้ด้วย"
"มุมของการรักษาอาการในระดับตัวบุคคล การใช้ยากับเชื้อปรสิตมาลาเรียทำให้พวกมันมีแนวโน้มที่ดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่มันยังสามารถอยู่รอด และรอการฟื้นตัวเมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายยุ่ง และแนวทางการใช้ยาแบบใหม่ ที่สามารถต้านทานการฟื้นตัวของเชื้อมาลาเรียเมื่อมันอยู่ในตัวยุง จะเป็นการทำลายโรคไข้มาลาเรียได้อย่างแท้จริง"
ทีมงานได้จำลองสภาพภายในร่างกายของยุง เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งการฟื้นตัวของยาสูตรใหม่แต่ละตัว แต่ขั้นตอนการเตรียมงานนั้นยุ่งยาก และใช้เวลาหลายปีเพื่อการสร้างระบบที่ใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของตัวยา และเมื่อระบบนี้แล้วเสร็จ นักวิทยาศาสตร์จะสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของส่วนผสมยาได้นับ 10,000 แบบต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
โดยตัวยาแบบใหม่นี้ต้องมีทั้งความปลอดภัยกับการใช้งานในมนุษย์ และต้องมีประสิทธิภาพในการตัดวงจรชีวิตของปรสิตเชื้อมาลาเรียได้จริง โดยถ้าคนที่เคยได้รับเชื้อมาลาเรียมาแล้วครั้งหนึ่ง และได้รับการรักษาด้วยตัวยาแบบใหม่นี้ และถ้าเขาโดนยุงกัด ยุงตัวนั้นก็จะได้รับการรักษาเพื่อไม่ให้มันเป็นแหล่งฟื้นตัวของปรสิต ทำให้ไม่เป็นพาหะของเชื้อมาลาเรียอีกต่อไป และเราจะเป็นผู้ชนะหรือไม่ในการต่อสู้กับเชื้อไข้มาลาเรีย ก็คงต้องรอดูความคืบหน้าของโปรเจคนี้กันต่อไป
ความคิดเห็น   เป็นเรื่องที่ดีหากทำได้ตามที่วิจัย โรคเหล่านี้จะได้ลดน้อยลงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน

ชัคกี้รีเมค! เริ่มถ่ายทำ พร้อมประกาศรายชื่อนักแสดงหลักแล้ว

ชัคกี้รีเมค! เริ่มถ่ายทำ พร้อมประกาศรายชื่อนักแสดงหลักแล้ว
"Child's Play : แค้นฝังหุ่น" หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อของ "ชัคกี้" ซึ่งมีข่าวว่าทาง MGM และ Orion Pictures จะนำมา "รีเมค" ลงจอเงินกันอีกครั้ง ตอนนี้ก็ได้เริ่มต้นถ่ายทำแล้วอย่างเป็นทางการ

พร้อมกันนี้ ก็ยังได้ประกาศตัวนักแสดงหลักแล้วด้วย คือ Aubrey Plaza ที่จะมารับบท "แม่" กับ Brian Tyree Henry ซึ่งยังไม่มีการระบุว่าจะมารับบทอะไร (ดูเหมือนก่อนหน้านี้บทของเค้าจะถูกวางไว้ให้เล่นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ)
และหนุ่มน้อย Gabriel Bateman (จาก Lights Out) คือผู้ที่จะมารับบทเป็น "เจ้าของตุ๊กตาชัคกี้" นั่นเอง!

โดยเรื่องราวต้นฉบับของ Child's Play นั้นเล่าถึงเด็กชายคนหนึ่งที่ได้รับตุ๊กตามาจากแม่เป็นของขวัญวันเกิด โดยที่เขาไม่รู้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีวิญญาณของ "ฆาตกรโรคจิต" Charles Lee Ray สิงอยู่ และมันก็ต้องการที่จะย้ายวิญญาณของตัวเองเข้าไปอยู่ในร่างของเด็กน้อยคนนี้แทน
แต่ในฉบับรีเมคนี้ ทีมผู้สร้างได้บอกมาว่า "เจ้าตุ๊กตาผีจะมีความไฮเทคกว่าตุ๊กตาชัคกี้ฉบับดั้งเดิม และมันอาจไม่ใช่ชื่อ ชัคกี้ แบบเดิมแล้วก็เป็นได้"
Child's Play รีเมค จะได้ Lars Klevberg จาก Polaroid มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับให้ ส่วน ​​Don Mancini ในนามของผู้เขียนบทเวอร์ชั่นดั้งเดิม ปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมกับภาพยนตร์รีเมคเรื่องนี้ และ Tyler Burton Smith (จาก Kung Fury 2) จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน
ความคิดเห็น
เป็นที่น่าติดตามมาก ด้วยตัวนักแสดงและเนื้อเรื่อง

สรุปข้อมูล และราคาของ Apple Watch 4สรุปข้อมูล และราคาของ Apple Watch 4



Apple Watch เป็นของเล่นใหม่ชิ้นแรก ที่ทาง Apple ได้เปิดตัวในงาน Apple Special Event - Gather Round โดยรุ่นนี้ก็เป็นรุ่นที่ 4 แล้ว โดยใช้ชื่อว่า Apple Watch Series 4 มาพร้อมกับหน้าจอที่มีขนาดใหญ่กว่า มี 2 รุ่น คือ
  • Apple Watch Series 4 รุ่น 40 มม. (ประมาณ 13,500 บาท)
  • Apple Watch Series 4 รุ่น 44 มม. (ประมาณ 14,100 บาท)
เปิดจองในกลุ่มประเทศแรก (ไม่มีประเทศไทย) 14 กันยายน วางจำหน่าย 21 กันยายน 

ฮาร์ดแวร์ภายในมีการปรับปรุงชิปประมวลผล และเซ็นเซอร์ต่างๆ ให้มีความเร็วในการทำงานสูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้การทำงานของการตรวจวัดค่าสุขภาพต่างๆ ทำได้ดีมากขึ้น ที่เจ๋ง คือ มีเพิ่มระบบการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiography (EKG) เข้ามาด้วย โดยใส่ไว้ใน Digital Crown ซึ่งช่วยให้เราตรวจสอบสุขภาพหัวใจของตัวเองได้อย่างง่ายดาย แถมเทคโนโลยีนี้ยังผ่านการรับรองจาก FDA แล้วด้วย

เริ่มสั่งจองได้วันที่ 14 กันยายน และจะได้ของวันที่ 21 กันยายน (ไม่รวมประเทศไทย) โดยราคาอยู่ที่ $399 (ประมาณ 13,500 บาท) รุ่น Cellular อยู่ที่ $499 (ประมาณ 16,500 บาท) และลดราคา Apple Watch Series 3 เหลือ $279 (ประมาณ 9,150 บาท)

ความคิดเห็น
เป็นของที่ราคาค่อนข้างสูงสำหรับเราๆแต่คนที่ยินดีจ่ายมีมากพอสำหรับค่ายนี้